ชื่องานวิจัย | การศึกษาผลของวิธีการเตรียมวัคซีนต่อระดับความเจ็บปวดของผู้รับบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว จังหวัดน่าน |
---|---|
วันที่เผยแพร่ | 5 ส.ค. 2565 |
หน่วยงาน | โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว |
ผู้วิจัย | นางไพรินทร์ สมบัติ |
ผู้วิจัยร่วม |
|
ประเภทของบทความ | บทความวิชาการ หรือ เอกสารรูปแบบวิชาการต่างๆ |
คำสำคัญ | วัคซีนโควิด-19 ,โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว,การเตรียมวัคซีน |
สาขางานวิจัย | งานบริการระดับทุติยภูมิ |
ประเด็นงานวิจัย | ระบบบริการและนโยบายสุขภาพ |
กลุ่มของวัตถุประสงค์การศึกษา | การประเมินผลโปรแกรมหรือโครงการ (Program/project evaluation) |
ประเภทของงานวิจัย | การวิจัยเชิงกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research) |
ชนิดของข้อมูล | เชิงปริมาณ |
ภาคีเครือข่ายในงานวิจัย |
|
ระดับการนำไปใช้ | ใช้ประโยชน์ ขยายผลในระดับองค์กร |
เอกสาร | 1การศึกษาผลของวิธีการเตรียมวัคซีนแบบแบบใหม่Abstract.pdf |
คะแนน | 73 |
จำนวนการเข้าชม | 207 |
เพื่อศึกษา ผลของการเตรียมวัคซีนแบบใหม่ต่อระดับความเจ็บปวดของผู้รับบริการฉีดวัคซีนโควิด 19
การวิจัยกึ่งทดลอง แบบสองกลุ่มวัดครั้งเดียว
กลุ่มตัวอย่าง ในการวิจัย คัดเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ ผู้รับบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ณ หน่วยฉีดวัคซีนโควิด 19 โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว จังหวัดน่าน ในวันที่ 6 ,8 และ 11 ตุลาคม 2564 จำนวน 63 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองคือ วิธีการเตรียมวัคซีนรูปแบบใหม่ที่ใช้เข็มเดียวกันทั้งในการดูดวัคซีนออกจาก ขวด และการฉีดวัคซีนให้กับผู้รับบริการ ซึ่งผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการจัดบริการวัคซีนโควิด 19 อำเภอปัว เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไปที่ผู้วิจัย พัฒนาขึ้น และ แบบวัดความเจ็บปวด (Pain score) แบบ Numeric Rating Scale วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ และทดสอบความแตกต่างของกลุ่มตัวอย่าง โดย ค่าไคสแควร์ (Chi-square test) และทดสอบความแตกต่างของความเจ็บปวดด้วยการทดสอบที (T Test)
ผลการวิจัยพบว่า
1.ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง เป็นเพศหญิง 32 คน (ร้อยละ 50.8 ) เพศชาย 31 คน (ร้อยละ 49.2 ) เมื่อทดสอบความแตกต่างข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการเตรียมวัคซีนรูปแบบเดิม คือ การใช้เข็มดูดวัคซีนและเข็มฉีดแยกจากกัน และแบบใหม่ คือ การใช้เข็มเดียวกันทั้งในการดูดวัคซีนออก จากขวด และการฉีดวัคซีนให้กับผู้รับบริการ ด้วยสถิติไค-สแควร์ พบว่า ไม่มีความแตกต่างกันในด้าน เพศ และช่วงอายุ
2. ผลการทดสอบคะแนนความเจ็บปวดเฉลี่ยของกลุ่มที่ได้รับการเตรียมวัคซีนรูปแบบเดิม คือ การใช้เข็มดูดวัคซีนและเข็มฉีดแยกจากกัน และรูปแบบใหม่ที่ใช้เข็มเดียวกันทั้งในการดูดวัคซีนออกจาก ขวดและการฉีดวัคซีนให้กับผู้รับบริการ ด้วยสถิติทีอิสระพบว่าไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05
ผลจากการวิจัยแสดงให้เห็นว่า วิธีการเตรียมวัคซีนรูปแบบใหม่และรูปแบบเดิม ส่งผลทำให้ ผู้รับบริการมีระดับความเจ็บปวดไม่แตกต่างกัน แต่ทั้งนี้รูปแบบใหม่มีข้อดีคือช่วยลดโอกาสสูญเสีย วัคซีนในขณะเปลี่ยนเข็มและไล่อากาศ และมีขั้นตอนการเตรียมน้อยกว่ารูปแบบเดิม
เป็นการเก็บข้อมูลจากสถานการณ์ให้บริการจริงซึ่งมีระยะเวลาที่ให้บริการค่อนข้างจำกัด ผู้รับบริการจำนวนมากจึงไม่ได้เก็บข้อมูลผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องด้านอื่นๆ เช่น ความพึงพอใจของผู้รับบริการ และไม่ได้มีการติดตามประเมินอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้น เช่น อาการปวดบวมแดงบริเวณที่ฉีด เป็นต้น
เวปไซต์ สสจ.น่าน