ชื่องานวิจัย | การพัฒนาแนวทางส่งเสริมการปรับตัวของญาติผู้ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายที่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว จังหวัดน่าน |
---|---|
วันที่เผยแพร่ | 19 ส.ค. 2565 |
หน่วยงาน | โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว |
ผู้วิจัย | นางไพรินทร์ สมบัติ |
ผู้วิจัยร่วม |
|
ประเภทของบทความ | บทความวิชาการ หรือ เอกสารรูปแบบวิชาการต่างๆ |
คำสำคัญ | แนวทางส่งเสริมการปรับตัว ญาติผู้ดูแลผู้ป่วย ผู้ป่วยระยะท้าย โรคเรื้อรัง |
สาขางานวิจัย | งานบริการระดับทุติยภูมิ |
ประเด็นงานวิจัย | โรค ภัยและภาวะสุขภาพ |
กลุ่มของวัตถุประสงค์การศึกษา | การพัฒนาระบบสาธารณสุข (Health systems development) |
ประเภทของงานวิจัย | การวิจัยเชิงพัฒนา (Developmental Research) |
ชนิดของข้อมูล | เชิงปริมาณ |
ภาคีเครือข่ายในงานวิจัย |
|
ระดับการนำไปใช้ | ใช้ประโยชน์ ขยายผลในหลายองค์กร ชุมชน อำเภอ หรือระดับจังหวัด |
เอกสาร | ไพรินทร์ สมบัติ.pdf |
คะแนน | 85 |
จำนวนการเข้าชม | 290 |
เพื่อพัฒนาและศึกษาผลของแนวทางส่งเสริมการปรับตัวของญาติผู้ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายที่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง
เป็นการวิจัยและพัฒนา
แบ่งเป็น 2 ระยะ ในระยะที่ 1 เป็นการพัฒนาแนวทางแนวทางส่งเสริมการปรับตัวของญาติผู้ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายที่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 12 คน ได้แก่ ญาติผู้ดูแลผู้ป่วยและผู้ให้บริการในโรงพยาบาล เครื่องมือที่ใช้ ประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์ และแบบบันทึก ในระยะที่ 2 เป็นการนำแนวทางไปใช้ในกลุ่มตัวอย่าง คัดเลือกแบบเจาะจง จำนวน 26 คน ได้แก่ ญาติผู้ดูแลผู้ป่วย เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แนวทางส่งเสริมการปรับตัวของญาติผู้ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายที่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังที่พัฒนาขึ้น แผนการพยาบาล คู่มือเตรียมความพร้อมของญาติผู้ดูแล แบบบันทึกข้อมูลของญาติผู้ดูแล แบบบันทึกข้อมูลของผู้ป่วย แบบสัมภาษณ์ และแบบบันทึกเหตุการณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและเปรียบเทียบผลการศึกษาด้วยสถิติทดสอบที (Paired t – test)
ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางส่งเสริมการปรับตัวของญาติผู้ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายที่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว จังหวัดน่าน ที่พัฒนาขึ้นตามแนวทางการพัฒนาคุณภาพและวงจรเดมมิ่ง (Deming cycle: PDCA) ร่วมกับทฤษฎีการปรับตัวของรอย ประกอบด้วย ขั้นตอนที่ 1 การประเมินพฤติกรรมการปรับตัวของญาติผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย 4 ด้าน ขั้นตอนที่ 2 ให้การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการปรับตัว และขั้นตอนที่ 3 การประเมินผลการปรับตัวของญาติผู้ดูแล 2) หลังสิ้นสุดกิจกรรมการส่งเสริมตามแนวทางที่ได้พัฒนาขึ้น ญาติผู้ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายมีค่าคะแนนเฉลี่ยการปรับตัวโดยรวม
การปรับตัวด้านร่างกาย การปรับตัวด้านความรู้สึกต่อตนเอง การปรับตัวด้านการแสดงบทบาทหน้าที่ และการปรับตัวด้านการพึ่งพาอาศัยผู้อื่น สูงขึ้นกว่าก่อนได้รับการพัฒนา และมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
สามารถนำแนวทางส่งเสริมการปรับตัวของญาติผู้ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายที่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง ไปใช้ในพื้นที่ต่อไป
เนื่องจากสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้ได้กลุ่มตัวอย่างค่อนข้างน้อย