ชื่องานวิจัย | ประสิทธิผลของโปรแกรมการเพิ่มพูนความรู้และทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรค หลอดเลือดสมองสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ |
---|---|
วันที่เผยแพร่ | 1 พ.ค. 2562 |
หน่วยงาน | โรงพยาบาลทุ่งช้าง |
ผู้วิจัย | นางขวัญฤทัย เจริญศุภพงศ์ |
ผู้วิจัยร่วม |
|
ประเภทของบทความ | วิทยานิพนธ์ต้นฉบับ |
คำสำคัญ | การช่วยเหลือเบื้องต้น อาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ โรคหลอดเลือดสมอง |
สาขางานวิจัย | งานบริการระดับทุติยภูมิ |
ประเด็นงานวิจัย | โรค ภัยและภาวะสุขภาพ |
กลุ่มของวัตถุประสงค์การศึกษา | การสนับสนุนงานบริการ (Health service support) |
ประเภทของงานวิจัย | การวิจัยเชิงกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research) |
ชนิดของข้อมูล | เชิงคุณภาพและปริมาณ |
ภาคีเครือข่ายในงานวิจัย |
|
ระดับการนำไปใช้ | ใช้ประโยชน์ ขยายผลในระดับองค์กร |
เอกสาร | ประสิทธิผลของโปรแกรมการเพิ่มพูนความรู้และทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์eng.pdf |
คะแนน | 58 |
จำนวนการเข้าชม | 287 |
1. เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเพิ่มพูนความรู้และทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองต่อแรงจูงใจในการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์
2. เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเพิ่มพูนความรู้และทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองต่อความรู้เกี่ยวกับการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์
3. เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเพิ่มพูนความรู้และทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองต่อทักษะเกี่ยวกับการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) เปรียบเทียบสองกลุ่ม ก่อนและหลังการทดลอง (Two group pretest-posttest design) ดำเนินการระหว่าง เดือนมกราคม ถึง กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561 รวม 4 สัปดาห์
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) เปรียบเทียบสองกลุ่ม ก่อนและหลังการทดลอง (Two group pretest-posttest design) ดำเนินการระหว่าง เดือนมกราคม ถึง กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561 รวม 4 สัปดาห์
กลุ่มตัวอย่าง
ประชากรในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ คืออาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ในอำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน จำนวน 66 คน4
กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้คือ อาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ในอำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน จำนวน 30 คน ซึ่งกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป ใช้ statistical test แบบ Means difference between two independent means (two groups) คำนวณ effect size จากงานวิจัยของรัตนินทร์ ภูมิวิเศษ (2555) เรื่อง รูปแบบการจัดการทางการพยาบาลในการเสริมความรู้ในระบบการแพทย์ฉุกเฉินในจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งมีค่าเฉลี่ยความรู้ของกลุ่มทดลอง เท่ากับ 27.23 (SD = 2.106) กลุ่มเปรียบเทียบ เท่ากับ 21.10 (SD = 1.74)12 คำนวณได้ค่า effect size เท่ากับ 3.17 กำหนดค่า error probability เท่ากับ 0.01 ค่า power (1- error probability) เท่ากับ 0.99 โปรแกรมคำนวณตัวอย่างได้ 7 คน รวมจำนวนตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่ม ได้ 14 คน เพื่อเป็นการป้องกันกลุ่มตัวอย่างถอนตัวจากการวิจัยผู้วิจัยจึงเพิ่มขนาดของกลุ่มตัวอย่างรวมเป็น 60 คนในการศึกษาครั้งนี้ได้กำหนดกลุ่มทดลองโดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (simple random sampling) จำนวน 30 คน เป็นอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ในเขตอำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน และกลุ่มเปรียบเทียบ จำนวน 30 คน คน เป็นอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ในเขตอำเภอปัว จังหวัดน่าน กลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่ม ถูกจับคู่ (match pair) ตัวแปร เพศ อายุ การศึกษา และประสบการณ์การเป็นอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์
การพิทักษ์สิทธิและจริยธรรมทางการวิจัย
การศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยของมหาวิทยาลัย โดยได้รับเอกสารรับรองโดยคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เลขที่ 1/2561 และดำเนินการตามกระบวนการพิทักษ์สิทธิของกลุ่มตัวอย่างในการขอเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างทุกราย
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
1.เครื่องมือการวิจัย มี 2 ประเภทได้แก่ เครื่องมือดำเนินการวิจัย และเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล มีรายละเอียดดังนี้
1.1 เครื่องมือดำเนินการวิจัย ได้แก่
1) โปรแกรมการเพิ่มพูนความรู้และทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจากการประยุกต์ใช้แบบจำลองเสริมแรงจูงใจ ARCS -VModel of Motivational Design (Keller, 2010) และการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญซึ่งกิจกรรมประกอบด้วย (1) การสร้างความสนใจโดยการตอบคำถามเกี่ยวกับการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองกิจกรรมนันทนาการ และเกมส์เกี่ยวกับการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (2) การเชื่อมความสัมพันธ์โดยการสอบถามเป้าหมายในการเข้าร่วมโปรแกรมและการปรับกิจกรรมให้สอดคล้องกับเป้าหมาย และให้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง และให้กลุ่มร่วมกันวิเคราะห์ข้อดีและข้อควรปรับปรุง (3) การสร้างความเชื่อมั่น โดยการบรรยายให้ความรู้ และชมวีดีทัศน์เกี่ยวกับการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง และการใช้แอปพลิเคชั่นไลน์ในการทบทวน และติดตามให้ความรู้เกี่ยวกับการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอีกทั้งให้ฝึกทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและแจกวีดีทัศน์การช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ (4) การสร้างความพึงพอใจโดยผู้เข้าร่วมโปรแกรมประเมินความพึงพอใจและให้ข้อเสนอแนะในระหว่างการจัดทำโปรแกรมและเมื่อสิ้นสุดโปรแกรมและมอบเกียรติบัตรสำหรับการเข้าร่วมโปรแกรม (5)การตัดสินใจด้วยตนเองโดยให้ผู้เข้าร่วมโปรแกรมฝึกการตัดสินใจในสถานการณ์จำลองซึ่งการดำเนินการตามโปรแกรมการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ ประกอบด้วยชุดเครื่องมือย่อย ดังนี้
(1) แผนการสอนการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
(2) สถานการณ์จำลองการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
2) วิดีทัศน์การช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ซึ่งผู้วิจัยพัฒนาขึ้นเอง ประกอบด้วย ความหมายของโรคหลอดเลือดสมอง อาการของโรค การประเมินอาการของโรคหลอดเลือดสมอง การให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตั้งแต่พบเหตุจนถึงการนำส่งมายังโรงพยาบาลในบทบาทหน้าที่ของอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์
3) อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการฝึกทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง 5 ฐาน ประกอบด้วย (1) คอมพิวเตอร์แสดงรูปภาพอาการผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (2) เครื่องวัดความดันโลหิต และนาฬิกา (3) หุ่นฝึก CPR (4) เปลหามผู้ป่วย หรือ Long Spinal Board (5) ถังออกซิเจนและสาย Oxygen cannula
4) โทรศัพท์มือถือที่มีแอปพลิเคชั่นไลน์
1.2 เครื่องมือรวบรวมข้อมูล
เครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย 1 ชุด ดังนี้
1) แบบสอบถามการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง เป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 4 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป
ส่วนที่ 2 ความรู้เกี่ยวกับการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้น ประกอบด้วยข้อคำถามจำนวน 23 ข้อ โดยเป็นคำถามให้เลือกตอบว่า ถูกต้อง ไม่แน่ใจ หรือไม่ถูกต้องได้ผ่านการตรวจความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 4 ท่านได้ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ .97การทดสอบความเที่ยงในกลุ่มตัวอย่าง 30 คน ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาคเท่ากับ .80
ส่วนที่ 3 แรงจูงใจในการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยประยุกต์ใช้แบบจำลองเสริมแรงจูงใจARCS-V model ประกอบด้วยข้อคำถาม 19 ข้อเป็นคำถามให้เลือกตอบแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ แบบ Likert Scale คือ มากที่สุด เท่ากับ 5, มาก เท่ากับ 4, ปานกลาง เท่ากับ 3, น้อย เท่ากับ 2 และน้อยที่สุด เท่ากับ 1 ได้ผ่านการตรวจความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 4 ท่านได้ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ 1.00 การทดสอบความเที่ยงในกลุ่มตัวอย่าง 30 คน ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาคเท่ากับ .90
ส่วนที่ 4 ทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้น ประกอบด้วยข้อควรปฏิบัติจำนวน 19 ข้อมีเกณฑ์การให้คะแนนคือ ทำได้ดีมาก เท่ากับ 4, ทำได้ดีเท่ากับ 3, ทำได้ปานกลาง เท่ากับ 2, ทำได้น้อย เท่ากับ 1 และทำไม่ได้ เท่ากับ 0 ได้ผ่านการตรวจความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 4 ท่านได้ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ .88 การทดสอบความเที่ยงในกลุ่มตัวอย่าง 30 คน ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาคเท่ากับ .72
การเก็บรวมรวมข้อมูล
กลุ่มทดลอง
ผู้วิจัยดำเนินการทดลองเป็นเวลา 4 สัปดาห์ โดยดำเนินการตามขั้นตอนการวิจัยดังนี้
สัปดาห์ที่ 1ดำเนินการในวันที่ 15-18 มกราคม 2561 กิจกรรมประกอบด้วย
1) การประเมินผลก่อนการทดลอง
2) ผู้เข้าร่วมโปรแกรมรับการประเมินทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองก่อนการทดลอง โดยเข้าฐาน 5 ฐาน
3) ผู้วิจัยชี้แจงวัตถุประสงค์ของการวิจัย ชี้แจงโปรแกรม และแจ้งกำหนดการดำเนินกิจกรรม
4) กิจกรรมสร้างความสนใจ การเชื่อมความสัมพันธ์และการสร้างความเชื่อมั่น โดยการทำกิจกรรมนันทนาการเกี่ยวกับความรู้เรื่องโรคหลอดเลือดสมองกิจกรรมการประเมินและปรับเป้าหมายในการเข้าร่วมโปรแกรมของอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์
5) การชมวิดีทัศน์ เรื่อง “การช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์”
6) ผู้วิจัยบรรยายให้ความรู้เรื่องความหมาย ประเภท อาการของโรคหลอดเลือดสมอง และการประเมินอาการของโรคหลอดเลือดสมอง การประเมินสัญญาณชีพ การปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง และการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองขณะส่งต่อ
7) การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
8) การอธิบายเรื่องการใช้แอปพลิเคชั่นไลน์ ในการทบทวน และติดตามให้ความรู้เกี่ยวกับการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
9) การตั้ง Line group ชื่อ “EMR-Stroke-Thungchang” และเพิ่มสมาชิกกลุ่ม
10) การฝึกทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจำนวน 5 ฐานได้แก่ ฐานที่ 1 การประเมินอาการของโรคหลอดเลือดสมองฐานที่ 2 การประเมินสัญญาณชีพฐานที่ 3 การปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพฐานที่ 4 การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองฐานที่ 5 การช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองขณะส่งต่อ
สัปดาห์ที่ 2 วันที่ 24 และ 31 มกราคม พ.ศ.2561
1) การใช้แอปพลิเคชั่นไลน์ในการทบทวนและติดตามให้ความรู้เกี่ยวกับการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ
2) การประเมินความพึงพอใจและให้ข้อเสนอแนะในระหว่างการจัดทำโปรแกรมโดยการสอบถามทางแอปพลิเคชั่นไลน์
3) การติดตามการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในสถานการณ์จริงการติดตามความมั่นใจและความพึงพอใจการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
สัปดาห์ที่ 3 วันที่ 6-8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
1) การฝึกการตัดสินใจในสถานการณ์จำลองซึ่งสร้างเหตุการณ์ขึ้นโดยเริ่มตั้งแต่มีการโทรแจ้งเหตุ 1669 มีการสั่งการไปยังหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินชุมชน มีการรับแจ้งเหตุและสั่งการอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ออกรับเหตุ การพบผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง การประเมินอาการ การให้ความช่วยเหลือจนถึงการนำส่งโรงพยาบาล
สัปดาห์ที่ 4 วันที่ 14-15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
1) การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์หลังการอบรม
2) การสรุปการเรียนรู้หลังการอบรมโดยผู้วิจัย
3) การแจกวิดีทัศน์การช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและประเมินโครงการการสรุปโครงการ และพิธีปิดโครงการพร้อมมอบเกียรติบัตร
4) การให้ผู้เข้าร่วมโปรแกรมตอบแบบสอบถามการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและประเมินทักษะการช่วยเหลือผู้ป่วยหลอดเลือดสมองของผู้เข้าร่วมโปรแกรมหลังการทดลอง
กลุ่มเปรียบเทียบ
สัปดาห์ที่ 1 การประชุมชี้แจงการจัดทำโปรแกรม และให้กลุ่มเปรียบเทียบตอบแบบสอบถาม และประเมินทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองก่อนการทดลอง
สัปดาห์ที่ 4 การให้กลุ่มเปรียบเทียบตอบแบบสอบถาม และประเมินทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองหลังการทดลอง แจกวิดีทัศน์การช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ ให้ความรู้และฝึกทักษะเรื่องการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
การวิเคราะห์ข้อมูล
วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป โดยใช้สถิติพรรณนา (Descriptive statistics) ข้อมูลส่วนบุคคล วิเคราะห์โดยใช้สถิติพรรณนา นำเสนอเป็นความถี่(frequency) ร้อยละ (percentage) ค่าเฉลี่ย (mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard devition)
วิเคราะห์ข้อมูลโปรแกรมการเพิ่มพูนความรู้และทักษะการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยสถิติพรรณนาสถิติทดสอบที โดยมีการทดสอบการกระจายแบบโค้งปกติของตัวแปรก่อนทดลองตามข้อตกลงเบื้องต้นของสถิติที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (ANCOVA) กำหนดค่าความเชื่อมั่นทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ .05
1. ข้อมูลทั่วไป
อาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์กลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ เป็นเพศชายทั้งหมด กลุ่มทดลองมีอายุเฉลี่ย 36.40 ปี (SD = 9.22) โดยพบว่าเป็นกลุ่มที่มีอายุน้อยกว่า 30 ปี จำนวนมากที่สุด ร้อยละ 33.33 รองลงมาคือ อายุระหว่าง 31-35 ปี และ 36-40 ปี ร้อยละ 23.33 และร้อยละ 16.67 ตามลำดับ กลุ่มเปรียบเทียบมีอายุเฉลี่ย 36.50 ปี (SD = 9.29) อายุน้อยกว่า 30 ปี จำนวนมากที่สุดเช่นกันพบร้อยละ 33.33 รองลงมาคือ อายุระหว่าง31-35 ปี, 36-40 ปีและ 41-45 ปี ร้อยละ 23.33, 13.33 ตามลำดับทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบส่วนใหญ่มีการศึกษาระดับมัธยมปลาย คิดเป็นร้อยละ 43.33 ทั้งสองกลุ่ม กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีอาชีพลูกจ้างชั่วคราว คิดเป็นร้อยละ 63.33 กลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบทั้งสองกลุ่มมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 5,001-10,000 บาทเป็นส่วนมาก ในกลุ่มทดลองคิดเป็นร้อยละ 46.67 และในกลุ่มเปรียบเทียบคิดเป็นร้อยละ 70.00
ทุกคนให้เหตุผลถึงการสมัครเข้ามาเป็นอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ คือ ต้องการช่วยเหลือสังคม ในกลุ่มทดลองส่วนใหญ่ปฏิบัติหน้าที่ โดยสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบล คิดเป็นร้อยละ 56.67 กลุ่มทดลองมีประสบการณ์การทำงานน้อยกว่า 2 ปี, 2-4 ปี และ 4-6 ปี ในสัดส่วนที่เท่ากัน คิดเป็นร้อยละ 20.00 ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบมีประสบการณ์ทำงาน 2-4 ปี และ 4-6 ปีมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 23.33 กลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่ม ได้เข้ารับการอบรมหลักสูตรการช่วยเหลือเบื้องต้น ณ จุดเกิดเหตุ มากที่สุด โดยในกลุ่มทดลอง คิดเป็นร้อยละ 73.33 และกลุ่มเปรียบเทียบคิดเป็นร้อยละ 60.00 กลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มได้รับการอบรมฟื้นฟูความรู้ล่าสุดภายใน 1 ปี คิดเป็นร้อยละ 66.67
2. แรงจูงใจในการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์หลังเข้าร่วมโปรแกรมดีกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. ความรู้เกี่ยวกับการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์หลังเข้าร่วมโปรแกรมดีกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
4. ทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์หลังเข้าร่วมโปรแกรมดีกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
1. ผลการศึกษาแรงจูงใจในการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์
ผลการศึกษาพบว่า หลังเข้าร่วมโปรแกรมกลุ่มทดลองมีแรงจูงใจในการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอยู่ในระดับมากที่สุด ดีกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เป็นไปตามสมมติฐาน
ผลการศึกษาสอดคล้องกับโคจินะกาจิมะและคณะ ได้อธิบายความคืบหน้าของการใช้ ARCS-V ที่ขยายผลมาจากรูปแบบเดิมคือ ARCS โดยแบบจำลอง ARCS-V มีไว้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจและความตั้งใจที่จะบรรลุเป้าหมายและมีประโยชน์มากกว่า ARCS 10 สอดคล้องกับโอเคและซันติอาโก ที่ได้สนับสนุนการใช้ ARCS ในการจัดโปรแกรมเพื่อเสริมแรงจูงใจ โดยกล่าวว่า ส่วนประกอบในรูปแบบการสร้างแรงบันดาลใจของเคลเลอร์ สามารถนำมาปรับใช้ได้อย่างเป็นระบบ โดยใช้ร่วมกับรูปแบบการออกแบบการเรียนการสอน11แบบจำลองเสริมแรงจูงใจ (ARCS-V Model of Motivational Design) ของเคลเลอร์10 อธิบายความหมายของแรงจูงใจ คือ สิ่งที่อธิบายถึงทิศทาง ขนาด และการคงอยู่ของพฤติกรรม โดยมนุษย์จะมีแรงจูงใจต้องเกิดจากองค์ประกอบดังต่อไปนี้ 1) ความสนใจ (Attention) 2) ความสัมพันธ์กัน (Relevance) 3) ความเชื่อมั่น (Confidence) 4) ความพึงพอใจ (Satisfaction) 5) การตัดสินใจด้วยตนเอง (Volition)11 การจัดโปรแกรมการเพิ่มพูนความรู้และทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์โดยประยุกต์ใช้แบบจำลองเสริมแรงจูงใจของเคลเลอร์10 จึงสามารถเพิ่มแรงจูงใจในการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองของอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์
แม้ว่าผลการศึกษาหลังการเข้าร่วมโปรแกรมทั้งสองกลุ่มตัวอย่างจะมีค่าเฉลี่ยแรงจูงใจในการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองดีกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ.05 ซึ่งอาจเกิดจากอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์มีความสนใจในการพัฒนาความรู้และทักษะอยู่เป็นฐานเดิม และมีเป้าหมายที่จะอุทิศตนช่วยเหลือสังคมจึงมีแรงจูงใจในการต้องการช่วยเหลือผู้ป่วยสูงแต่เมื่อกลุ่มทดลองได้เข้าร่วมโปรแกรมที่ใช้ ARCS-V 5 ขั้นตอนในการส่งเสริมและคงไว้สำหรับแรงจูงใจในกระบวนการเรียนรู้ จึงช่วยให้มีแรงจูงใจในการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่สูงมากขึ้น โดยผู้วิจัยได้นำค่าเฉลี่ยแรงจูงใจมาวิเคราะห์ด้วยสถิติทีรายด้าน และรายข้อแล้วพบว่ากลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยแรงจูงใจในการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอยู่ในระดับมากที่สุดทุกรายด้านและทุกรายข้อ ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบมีค่าเฉลี่ยแรงจูงใจในการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดอยู่ที่ระดับมากทุกรายด้านและทุกรายข้อสรุปได้ว่า แม้ว่าหลังการเข้าร่วมโปรแกรมแรงจูงใจในการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองของกลุ่มเปรียบเทียบจะดีขึ้น แต่แรงจูงใจของกลุ่มเปรียบเทียบก็ยังคงดีขึ้นไม่สูงพอเมื่อเทียบกับกลุ่มทดลอง
2. ผลการศึกษาความรู้เกี่ยวกับการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์
ผลการศึกษาพบว่าหลังเข้าร่วมโปรแกรมกลุ่มทดลองมีความรู้เกี่ยวกับการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอยู่ในระดับสูง ดีกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เป็นไปตามสมมติฐาน
ในการศึกษาครั้งนี้ได้จัดกิจกรรมตามโปรแกรมการเพิ่มพูนความรู้และทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ในการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ร่วมกับการใช้แผนการสอนที่มีประสิทธิภาพ มีการใช้แอปพลิเคชั่นไลน์ในการทบทวนและติดตามให้ความรู้เกี่ยวกับการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและการปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ มีกิจกรรมการตอบคำถามในไลน์กลุ่ม และการแจกคู่มือการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในรูปแบบวิดีทัศน์หลังจบการอบรม มีการประเมินความรู้ก่อน-หลังการทดลองโดยการใช้แบบสอบถามความรู้เกี่ยวกับการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ส่งผลให้อาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์มีความรู้เกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่สูงขึ้น
ผลการศึกษาสอดคล้องกับงานวิจัยของ รัตนินทร์ ภูมิวิเศษ13 ศึกษาเรื่อง รูปแบบการจัดการทางการพยาบาลในการเสริมความรู้ในระบบการแพทย์ฉุกเฉินในจังหวัดสุพรรณบุรี พบว่าผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระดับความรู้และทักษะการปฏิบัติการฉุกเฉินระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.001 ซึ่งงานวิจัยนี้มีการใช้กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ จำนวนกลุ่มละ 30 คน มีการจัดบรรยายให้ความรู้และการฝึกปฏิบัติ มีการเก็บข้อมูลก่อนและหลังการทดลองโดยใช้แบบสอบถามและแบบวัดความรู้และทักษะการปฏิบัติการฉุกเฉิน ซึ่งคล้ายคลึงกับการศึกษาของผู้วิจัย มีความแตกต่างกันในเรื่องของระยะเวลาการอบรมและหลักสูตรการสอน ผลการศึกษาแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการจัดรูปแบบการเพิ่มพูนความรู้ที่ส่งผลให้กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่สูงขึ้น
ถึงแม้ว่าผลการศึกษาหลังการเข้าร่วมโปรแกรมทั้งสองกลุ่มตัวอย่างจะมีค่าเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองดีกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 สาเหตุอาจเกิดจากอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์เมื่อได้มาทำแบบทดสอบก่อนการทดลอง อาจเกิดความสงสัยในเรื่องโรค และมีความต้องการที่จะพัฒนาความรู้ตนเองเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย จึงมีการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองหรือสอบถามผู้รู้ อีกทั้งปัจจุบันเป็นยุคดิจิทัล มีสื่อต่างๆที่นำเสนอเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองและมีการรณรงค์อย่างมากมาย จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ค่าเฉลี่ยความรู้เพิ่มขึ้นได้ แต่เมื่อผู้วิจัยได้นำค่าเฉลี่ยความรู้มาวิเคราะห์ด้วยสถิติทีรายด้านและรายข้อ พบว่า หลังการเข้าร่วมโปรแกรมกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยความรู้อยู่ในระดับสูง ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบ มีค่าเฉลี่ยความรู้อยู่ในระดับต่ำ แสดงให้เห็นว่าถึงแม้ว่าหลังการเข้าร่วมโปรแกรม ค่าเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองของกลุ่มเปรียบเทียบจะเพิ่มขึ้น แต่ความรู้ของกลุ่มเปรียบเทียบก็ยังคงดีขึ้นไม่สูงพอเมื่อเทียบกับกลุ่มทดลอง
3. ผลการศึกษาทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์
ผลการศึกษาพบว่าหลังเข้าร่วมโปรแกรมกลุ่มทดลองมีทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอยู่ในระดับมาก ดีกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เป็นไปตามสมมติฐาน
ในการศึกษาครั้งนี้ได้จัดกิจกรรมตามโปรแกรมการเพิ่มพูนความรู้และทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ เพื่อเพิ่มทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โดยทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองแบ่งออกเป็น 5 ฐานได้แก่ ฐานที่ 1 การประเมินอาการของโรคหลอดเลือดสมองฐานที่ 2 การประเมินสัญญาณชีพฐานที่ 3 การปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพฐานที่ 4 การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองฐานที่ 5 การช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองขณะส่งต่อผู้เข้าร่วมโปรแกรมต้องวนฐานเพื่อรับการฝึกทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจนครบทุกฐาน และมีการแบ่งกลุ่มเพื่อฝึกการตัดสินใจในสถานการณ์จำลองส่งผลให้อาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์มีทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสูงขึ้น
การพัฒนาทักษะส่วนใหญ่จะกระทำควบคู่ไปกับการเพิ่มพูนความรู้ในด้านนั้น ๆ ในการวิจัยในครั้งนี้ก็เช่นกัน คือมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเพิ่มพูนความรู้และทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองของอาสาสมัครฉุกเฉินทางการแพทย์ โดยพบว่ามีงานวิจัยที่ลักษณะคล้ายคลึงกัน และนำไปใช้ได้ประสิทธิผลที่ดี ได้แก่ ผดุงศิษฎ์ ชำนาญบริรักษ์ ศึกษาเรื่อง การพัฒนาคุณภาพการบริการการแพทย์ฉุกเฉินของอาสาสมัครกู้ชีพองค์การบริหารส่วนตำบลวังแสง จังหวัดมหาสารคาม พบว่าคะแนนเฉลี่ยความรู้ของอาสาสมัครกู้ชีพก่อนได้รับการอบรมและหลังได้รับการอบรม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีคะแนนค่าเฉลี่ยทักษะการปฏิบัติงานหลังได้รับการอบรมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทีระดับ .0514 และการศึกษาของ กฤษณ์ โพธิ์ศรีและคณะ เรื่องผลของการพัฒนาศักยภาพอาสากู้ชีพในการบริการการแพทย์ฉุกเฉินของหน่วยกู้ชีพขั้นพื้นฐาน อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ทำโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่าหลังการพัฒนาอาสาสมัครกู้ชีพมีความรู้ในด้านแพทย์ฉุกเฉินมากกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 และมีคะแนนทักษะการปฏิบัติการฉุกเฉินหลังพัฒนามากกว่าก่อนพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .0515
ถึงแม้ว่าผลการศึกษาหลังการเข้าร่วมโปรแกรมทั้งสองกลุ่มตัวอย่าง จะมีค่าเฉลี่ยทักษะการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองดีกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม อย่างมีนัยสำคัญที่ .05 ทั้งนี้อาจเกิดจากกลุ่มตัวอย่างได้มาประเมินทักษะการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองก่อนเข้าโปรแกรม ทำให้มีความต้องการพัฒนาตนเอง โดยสืบค้นตามเวปไซต์และดูสื่อที่เกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดสมอง หรืออาจมีโอกาสได้ช่วยเหลือและนำส่งผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองไปยังโรงพยาบาล และได้รับคำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์ จึงทำให้มีค่าเฉลี่ยทักษะที่สูงขึ้น ผู้วิจัยจึงได้ทำการวิเคราะห์ด้วยสถิติทีรายด้านและรายข้อ พบว่าหลังการเข้าร่วมโปรแกรมกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ส่วนใหญ่อยู่ในระดับมาก และมีระดับมากที่สุดคือด้านการยกเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบพบว่าทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสำหรับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์รายด้านมีทั้งน้อยที่สุด น้อย ปานกลาง และอยู่ในระดับมากเพียงแค่ 1 ด้าน ได้แก่ ด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสรุป ถึงแม้ว่าหลังการเข้าร่วมโปรแกรม ทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองของกลุ่มเปรียบเทียบจะดีขึ้น แต่ทักษะของกลุ่มเปรียบเทียบก็ยังคงดีขึ้นไม่สูงพอเมื่อเทียบกับกลุ่มทดลอง
สรุปได้ว่า โปรแกรมการเพิ่มพูนความรู้และทักษะการช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองของอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ทำให้อาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์มีแรงจูงใจ ความรู้ และทักษะการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น
1. การศึกษาวิจัยครั้งต่อไปควรมีการเพิ่มโรคฉุกเฉินที่สำคัญอื่นๆ เช่นเดียวกันกับโรคหลอดเลือดสมองที่ต้องประเมินอาการได้เร็ว และมารักษาที่โรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน เพื่อลดความรุนแรงของภาวะทุพพลภาพหรือลดอัตราการเสียชีวิต เช่นโรคหัวใจขาดเลือดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด เป็นต้น
2. รูปแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในครั้งนี้ นอกจากจัดโครงการอบรมให้ความรู้ ยังมีการติดตามให้ความรู้ผ่านทางแอปพลิเคชั่นไลน์ การศึกษาครั้งต่อไปอาจจัดทำเว็บไซต์ให้ความรู้เรื่องโรคหลอดเลือดสมอง มีแบบฝึกทักษะ และสื่อต่างๆ ให้ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนและตอบคำถามได้ และสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้เข้าอบรมผ่านการลงชื่อเข้าใช้ได้ ทั้งนี้ควรทำตามบริบทและกลุ่มเป้าหมายของแต่ละพื้นที่
1. ตีพิมพ์วารสารกองการพยาบาล ปีที่ 46 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2562
2. วิทยานิพนธ์ มหาวิทยาลัยนสุโขทัยธรรมมาธิราช